วันอังคารที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2557

นวดจับเส้นนนทบุรีbyอเอก เส้นลมปราณหัวใจร้อนมีอาการอย่างไร

นวดจับเส้นนนทบุรีbyอเอก  เส้นลมปราณหัวใจร้อนมีอาการอย่างไร

#นวดจับเส้นนนทบุรีbyอเอก

เส้นลมปราณหัวใจ  ร้อนมีอาการอย่างไร

อาการตัวร้อนเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ  ทั้งมาจากการเป็นไข้ ตัวร้อน,  การทานอาหารที่มีธาตุร้อนมากจนเกินไปก็ทำให้ร่างกายเกิดความร้อนมากขึ้นกว่าปกติ,  การทำงานหนักมากเกินไป จนทำให้ร่างกายเกิดการเกร็งค้าง    เมื่อไม่แก้ไขก็จะเกิดอาการเลือดลมไม่เดิน หรือเลือดลมเดินไม่สะดวก  เหมือนรถติดขัดนานมาก  ทำให้ร่างกายเกิดความร้อนสะสมตกค้างอยู่ ณ บริเวณนั้น  วันนี้เราได้ไปเจอข้อมูลดี ๆ จึงนำมาฝากเพื่อน ๆ ให้ได้รู้กัน ในguasahealthcare-เส้นลมปราณหัวใจร้อนมีอาการอย่างไร?  โดย...หมอไพร



เรารู้กันอยู่แล้วว่า ประตูที่ลิ้นอยู่ที่ลิ้น หัวใจเป็นอวัยวะธาตุไฟ หากเส้นลมปราณหัวใจร้อนไม่ว่าจะร้อนแกร่งหรือร้อนพร่อง อาการจะสะท้อนออกที่ลิ้นทันที หากร้อนเบาๆจะพบเพียงปลายลิ้นแดงเจ็บ ร้อนมากกว่านั้นลิ้นเป็นแผล หนักเบาตามความร้อนมากน้อย   อาการร้อนของเส้นหัวใจ... นอกจากลิ้นเป็นแผล โดยเฉพาะเป็นแผลที่ปลายลิ้นแล้ว ยังมีอาการ นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย นอนพลิกไปพลิกมา หลับยาก ถึงหลับแล้วก็ฝันมาก หลับไม่ลึก กังวล ปัสสาวะสั้น น้อยและร้อน สีเข้ม ร้อนแกร่ง
                              
อาการร้อนในจากไฟหัวใจแกร่งนี้ เราสามารถใช้ "ดีบัว" 4-6 ดอก ชงน้ำดื่ม สามารถลดไฟหัวใจได้ดี จากเหตุผลนี้จึงมีการแนะนำต่อๆกันมาว่า ดีบัว ช่วยบำรุงหัวใจ จึงซื้อหามากินกัน โดยไม่ได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าเหมาะกับร่างกายเราแค่ไหน ดีบัวมีฤทธิ์หนาว กินมากทำลายหยางชี่ ทำให้หยางหัวใจลดน้อยลง การร้อนจากไฟหัวใจแกร่งจึงหายไป แต่ถ้ากินนาน หรือท่าไม่ใช่ร้อนจากไฟแกร่ง แต่เกิดจากไฟพร่อง หยางหัวใจจะถูกลดทอนลงมากกว่าเดิม เกิดอาการโรคหัวใจชนิดหยางชี่พร่องขึ้นได้ ดังนั้นการใช้ควรระมัดระวัง ต้องให้เหมาะกับร่างกายตัวเอง
                              
เราสามารถดูแลตัวเองดง่าย ๆ ด้วย กดจุดหรือฝังเข็มที่ช่วยลดร้อนแกร่งแทนดีบัวจุดนั้นก็คือ "จุดจงชง" อยู่ปลายนิ้วกลาง เส้นลมปราณหัวใจเดินไปจบที่ปลายนิ้วกลาง การหาจุด ต้องงอนิ้วหน่อยๆ ใช้เล็บมือกดหรือใช้ไม้จิ้มฟันกดก็ได้   ยังมีจุดอยู่ที่หลัง เรียกว่า "จุดซินซู" หากไฟหัวใจสูงชนิดแกร่ง สามารถใช้วิธีกวาซา ให้คนอื่นช่วยกวาก็ได้ และถ้าเป็นมากสามารถใช้วิธีปล่อยเลือด แต่อันนี้ต้องทำด้วยแพทย์
                              
ดีบัวไม่สามารถใช้กับไฟหัวใจร้อนพร่องได้ เพราะจะเย็นเกินไป เรามาทำความเข้าใจก่อนว่า อะไรคือร้อนพร่อง ปรกติยินหยางต้องสมดุลกัน พอความสมดุลนี้เสียไป เช่น หยางมีมากกว่ายิน เกิดอาการร้อน ร้อนเช่นนี้เราเรียก "ร้อนแกร่ง" การรักษาต้องลดหยาง ลดร้อน
                              
แต่ในกรณีที่ยินเกิดน้อยกว่าหยาง จึงดูเหมือนว่าหยางมาก ทำให้เกิดอาการร้อน การร้อนเช่นนี้เรียกว่า "ร้อนพร่อง" หรือเรียกว่าร้อนจากยินพร่อง การรักษาไม่ใช่ลดหยาง หากแต่ต้องเพิ่มยินให้ไปเท่ากับหยาง อาการร้อนจึงจะหายไป หากเราไปเพิ่มหยาง อาการร้อนในไม่เพียงไม่หาย ยังจะหนักยิ่งขึ้น
                                 
หัวใจเป็นธาตุไฟ ไฟหัวใจต้องใช้น้ำของไตมาควบคุม ไม่ให้ไฟหัวใจมากจนเกินไป กรณีที่ไฟหัวใจร้อนพร่องจึงมักเกิดจากไตยินพร่อง น้ำน้อย สารน้ำสารเหลวน้อย ดับไฟไว้ไม่ได้ ทำให้ไฟหัวใจร้อน การร้อนพร่องเช่นนี้จึงไม่ใช่ใช้ ดีบัวไปลดหยาง แต่หากต้องเพิ่มยิน โดยเฉพาะบำรุงยินไต เพื่อจะสามารถควบคุมไฟของหัวใจลง
                              
เราจะจำแนกไฟแกร่งกับไฟพร่องได้อย่างไร ไฟแกร่ง แผลแดงสดมาก เจ็บปวดทรมานมากกว่า ท้องผูก เป็นต้น ส่วนไฟพร่อง แผลที่ลิ้นไม่แดงเข้ม เจ็บปลายลิ้นน้อยกว่า บวกอาการร้อนฝ่ามือฝ่าเท้า ร่วมด้วย หรืออาจเกิดจากไตหยางพร่อง มือเท้าเย็น แต่ปากร้อน ปากเป็นแผล อันเป็นการร้อนพร่องที่ทั้งต้องขับร้อนหัวใจทั้งต้องเพิ่มน้ำให้กับหัวใจ
                                 
จุดที่ช่วยเพิ่มน้ำให้ไต ก็คือ "จุดไท่ซี" อยู่ระหว่างกลางของตาตุ่มด้านในกับเอ็นร้อยหวาย ใช้ท้องนิ้วโป้ง นวดกดให้รู้สึกเจ็บๆเสียวๆ เพื่อเป็นการเพิ่มยินให้แก่ไต ทำเป็นประจำจะช่วยได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ที่มา  http://www.komchadluek.net/

วันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

นวดจับเส้นนนทบุรีbyอเอก โปแทสเซียมสำคัญอย่างไร?

นวดจับเส้นนนทบุรีbyอเอกโปแทสเซียมสำคัญอย่างไร?   ร่างกายของเราต้องการโปแทสเซียมเป็นอย่างมาก  ในการช่วยปรับสมดุลกรดและด่าง  แล้วอาหารอะไรที่มีโปแทสเซียมมาก  มาดูกันเลย


โปแทสเซียมเป็นแร่ธาตุชนิดหนึ่งที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย โดยมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้การทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกายเป็นปกติ เช่น ระบบประสาทและกล้ามเนื้อ โปแทสเซียมช่วยควบคุมสมดุลของอิเล็กโตรไลต์และสมดุลของกรด-เบสในร่างกาย ป้องกันภาวะกรดเกิน (hyperacidity) และยังช่วยควบคุมความดันโลหิตที่สูงและลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด อีกด้วย

มีรายงานวิจัยจำนวนมากที่ระบุว่าในกลุ่มประชากรที่ได้รับโปแทสเซียมจากอาหาร ในปริมาณที่สูงมีค่าเฉลี่ยของความดันโลหิตและอัตราการเกิดโรคความดันโลหิต สูงต่ำกว่ากลุ่มประชากรที่ได้รับโปแทสเซียมจากอาหารในปริมาณที่น้อย และยังพบว่าการได้รับโปแทสเซียมจากอาหารอย่างเพียงพอ มีผลช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด และโรคเรื้อรังชนิดอื่น ๆ โดยในงานวิจัยของ Ascherio และคณะ ได้รายงานว่าสามารถลดความเสี่ยงของภาวะการอุดตันของเส้นโลหิตที่ไปเลี้ยง สมอง (Stroke) ได้ถึง 30%

ในคนปกติที่มีอายุตั้งแต่ 14 ปีขึ้นไป ควรได้รับโปแทสเซียมในปริมาณ 4.7 กรัมต่อวัน (ข้อมูลจาก Food and Nutrition Board, Institute of Medicine) ปัจจุบันคนส่วนใหญ่ยังได้รับปริมาณโปแทสเซียมต่ำกว่าปริมาณที่แนะนำ ซึ่งการที่จะทำให้ได้รับโปแทสเซียมอย่างเพียงพอในแต่ละวันนั้นทำได้ไม่ยาก เพราะโปแทสเซียมมีอยู่มากในอาหารหลากหลายชนิด เช่น ผัก ผลไม้ ผลิตภัณฑ์นมที่มีไขมันต่ำหรือไม่มีไขมัน ถั่วต่าง ๆ และธัญพืช เรามาพิจารณากันดีกว่าว่าอาหาร 10 อันดับที่มีปริมาณโปแทสเซียมสูงมีอะไรบ้าง


อันดับ ชนิดอาหาร ขนาดบริโภค ปริมาณโปแทสเซียม
1 ผงโกโก้ 100 กรัม 1.5 กรัม
2 ลูกพรุน (อบแห้ง) 100 กรัม 1.1 กรัม
3 ลูกเกด 100 กรัม 892 มิลลิกรัม
4 เมล็ดทานตะวัน 100 กรัม 850 มิลลิกรัม
5 อินทผาลัม 100 กรัม 696 มิลลิกรัม
6 ปลาแซลมอน 100 กรัม 628 มิลลิกรัม
7 ผักโขม (สด) 100 กรัม 558 มิลลิกรัม
8 เห็ด 100 กรัม 484 มิลลิกรัม
9 กล้วย 100 กรัม 358 มิลลิกรัม
10 ส้ม 100 กรัม 181 มิลลิกรัม
จะเห็นได้ว่าเราสามารถเลือกรับประทานอาหารได้หลากชนิดเพื่อให้ได้รับโปแทส เซียมในปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน แต่ทั้งนี้ เราควรบริโภคอาหารอย่างถูกหลักโภชนาการ โดยคำนึงถึงปริมาณน้ำตาล ไขมัน คอเลสเตอรอล ฯลฯ ที่มีอยู่ในอาหารด้วย เพื่อป้องกันความเสี่ยงของโรคต่าง ๆ และเพื่อให้มีสุขภาพที่แข็งแรง

แม้ว่าการที่ร่างกายเราได้รับโปแทสเซียมอย่างเพียงพอจะเป็นประโยชน์หลาย อย่างต่อสุขภาพ แต่ยังมีข้อควรระวังในผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ มีความบกพร่องในการขจัดโปแทสเซียมออกจากร่างกาย เช่น ผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรัง เบาหวานและภาวะหัวใจล้มเหลว ควรได้รับโปแทสเซียมน้อยกว่า 4.7 กรัมต่อวัน (ปริมาณเท่าใดที่จะเหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละคนนั้น ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ผู้ดูแล) เพื่อป้องกันภาวะการมีโปแทสเซียมที่มากเกินไป (hyperkalemia) ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อร่างกายได้

ที่มา  http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/th/knowledge/article/

รู้ความสำคัญของโปแทส เซียมกันแล้ว และยังรู้ว่าโปแทส เซียมมีมากในอาหารชนิดไหนกันแล้ว  คราวนี้ก็เลือกทานกันให้อร่อยได้เลย 

สุขภาพดีคุณเลือกได้ !

สนใจเรื่องสุขภาพปรึกษา

#นวดจับเส้นนนทบุรีbyอเอก


#นวดแก้ปวดตามร่างกาย
#นวดจับเส้น
#นวดคลายเส้น


ยินดีให้คำปรึกษาแนะนำ
โทร 0897458432, 0908987965

#นวดแก้เท้าชา
#นวดแก้เจ็บกล้ามเนื้ออก
#นวดแก้ไมเกรน
#นวดแก้สายตาพร่ามัว

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

เพจ #นวดจับเส้นนนทบุรีสอนนวดออนไลน์


วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

#นวดจับเส้นนนทบุรีbyอเอกผู้พิชิตความร้อน ย่านาง มาแล้วจ้า


#นวดจับเส้นนนทบุรีbyอเอกผู้พิชิตความร้อน ย่านาง มาแล้วจ้า  

#นวดจับเส้นนนทบุรีbyอเอก มาดูสรรพคุณของย่านางหรือที่เรียกอีกอย่างว่า "หมื่นปีบ่แก่" ว่ามีคุณสมบัติอะไรบ้าง?

ย่านางเป็นเป็นสมุนไพรเย็น มีคลอโรฟิลล์สดจากธรรมชาติ และยังมีวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกายอีกมากมาย  สภาวะปัจจุบันโลกมีอากาศร้อนขึ้นเรื่อย ๆ  จึงนิยมนำใบย่านางมาทำน้ำสมุนไพรดื่ม  หรือนำมาประกอบอาหาร  ซุปหน่อไม้  แกงหวาน แกงหน่อไม้ แกงเลียง เป็นต้น 

ย่านางเป็นผักที่มีประโยชน์อีกชนิดหนึ่ง มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ใช้ในการประกอบอาหารพื้นบ้านไทยหลายๆ ตำรับ ในใบย่านางมีวิตามินเอและซีสูง นอกจากนี้ยังประกอบด้วยสารอาหารสำคัญอื่นๆ เช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน ไฟเบอร์ แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก ไทอะมีน ไรโบฟลาวิน และไนอะซีน

สำหรับสรรพคุณในทางยา ย่านางถือเป็นยาเย็น มีความโดดเด่นด้านการดับพิษและลดไข้ โดยรากใช้แก้ไข้ทุกชนิด เช่น ไข้พิษ ไข้เหนือ ไข้หัด สุกใส ไข้กาฬ ขับกระทุ้งพิษไข้ ถอนพิษผิดสำแดง และแก้เบื่อเมา ส่วนใบและเถา จะใช้แก้ไข้ ลดความร้อน และแก้พิษตานซาง

รากย่านางเป็นหนึ่งในส่วนประกอบของตำรับยาเบญจโลกวิเชียร หรือยา5 ราก หรือแก้วห้าดวง ซึ่งเป็นตำรับยาแก้ไข้ที่กระทรวงสาธารณสุขประกาศใช้ในบัญชียาจากสมุนไพรที่ มีการใช้ตามองค์ความรู้ดั้งเดิม ร่วมกับรากชิงชี่ รากท้าวยายหม่อม รากคนทา และรากมะเดื่อชุมพร
 
เมื่อศึกษาถึงองค์ประกอบทางเคมี ในรากย่านางส่วนใหญ่เป็นอัลคาลอยด์ในกลุ่ม isoquinoline ในใบประกอบด้วยสารโพลีแซคคาไรด์ สารโพลีฟีนอล แคลเซียมออกซาเลท และอัลคาลอยด์กลุ่ม isoquinoline

 สำหรับการศึกษาวิจัยฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของย่านาง ยังมีไม่มากนัก ส่วนใหญ่เป็นการทดลองในหลอดทดลองและสัตว์ทดลอง ยังไม่พบรายงานการวิจัยในคน โดยพบว่าย่านางมีฤทธิ์ลดไข้ ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อมาลาเรีย Plasmodium falciparum แก้ปวด ลดความดันโลหิต ต้านเชื้อจุลชีพ ต้านการแพ้ ลดการหดเกร็งของลำไส้ ต้านการเจิญของเซลล์มะเร็ง ยับยั้งเอนไซม์ acetylcholinesterase และมีฤทธิ์อย่างอ่อนๆ ในการต้านอนุมูลอิสระ

การศึกษาด้านความเป็นพิษในสัตว์ทดลอง พบว่าสารสกัดน้ำจากทั้งต้นและสารสกัด 50%  เอทานอลจากใบไม่เป็นพิษต่อหนูแรท แต่การป้อนรากย่านางในขนาดสูง มีความเป็นพิษทำให้สัตว์ทดลองตาย
จะเห็นว่าย่านางเป็นสมุนไพรในครัวเรือนอีกชนิดหนึ่งที่มีประโยชน์

ปัจจุบันมีการแนะนำการใช้น้ำคั้นจากใบย่านางดื่มเพื่อปรับสมดุลของร่างกาย โดยนักวิชาการสาธารณสุขด้านการแพทย์ทางเลือก รวมทั้งมีการรวบรวมประสบการณ์การใช้น้ำคั้นจากใบย่านางในการรักษาโรค เรื้อรังต่างๆ มาเผยแพร่

อย่างไรก็ตามข้อมูลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของย่านางยังมีไม่มากนัก ยังไม่พบรายงานการศึกษาทางคลินิก รวมทั้งข้อมูลด้านความเป็นพิษในคน ดังนั้นการใช้ย่านางรักษาโรคอื่นๆ นอกเหนือจากแก้ไข้ซึ่งมีประวัติการใช้มาเนิ่นนานแล้ว จึงควรระมัดระวังและมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนการใช้ในการรักษาโรค เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดและมีความปลอดภัยต่อผู้ใช้

เรียบเรียงโดยสำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
(http://medplant.mahidol.ac.th)

ย่านางเป็นสมุนไพรอีกชนิดที่นำมาใช้ปรับสมดุลให้ร่างกาย 
ท่านใดที่ต้องการปรึกษาเรื่องสุขภาพติดต่อ

#นวดจับเส้นนนทบุรีbyอเอก
#นวดคลายเส้นแก้ปวด
ใกล้สถานีรถไฟฟ้าสายสีม่วง บางบัวทอง นนทบุรี

#แก้อาการเจ็บปวดไม่ต้องกินยา


ยินดีให้คำปรึกษาแนะนำได้ที่ 
หมายเลข 0908987965,  0897458432

#นวดแก้อาการเท้าชา
#นวดแก้อาการมือชา

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม